หลักสูตรเกลียวสว่าน (Spiral Curriculum)


หลักสูตรเกลียวสว่าน
 (Spiral Curriculum)




         หลักสูตรเกลียวสว่าน หรือบันไดวน (Spiral Curriculum
หมายถึง การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ แล้งค่อยๆ เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อยๆ ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน


        บรูเนอร์ (Bruner, 1960)  เป็นนักการศึกษาท่านหนึ่งที่มีบทบาทมากในการเผยแพร่ความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน  บรูเนอร์มีความเชื่อว่า  ในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอนจึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตร  โดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  อย่างมีระบบจากง่ายไปหายาก  จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะ
บันไดวน  หรือเกลียวสว่าน  คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ  ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
          การพัฒนาหลักสูตรควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิดหรือหัวข้อเนื้อหาพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่านักเรียนได้เรียนรู้ความคิดรวมของเรื่องนั้นๆ  บรูเนอร์เชื่อว่า  เราสามารถสอนเรื่องใดๆ  ให้แก่นักเรียนที่มีอายุเท่าใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเด็กจะมีความพร้อมเต็มที่  และเขาได้ย้ำในประเด็นนี้ว่า  เป็นไปได้ที่จะสอนความคิดและตัวแปรต่างๆ ให้แก่เด็กได้ตั้งแต่เยาว์วัย  และไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลานั้นๆ
            จากการนำแนวความคิดของหลักสูตรเกลียวสว่านไปใช้กับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ฟรอสท์และโรแลนด์  (Frost and Roland,1969)  ได้ยืนยันว่า  หลักสูตรเกลียวสว่านช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนอย่างมีลำดับขั้นตอนของโครงสร้างวิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี  ได้ยืนยันเพิ่มเติมว่าไม่เพียงแต่มีการนำหัวข้อเนื้อหาเดียวกันมาศึกษาในระดับชั้นที่ต่อเนื่องกันเท่านั้น  แต่ยังมีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆให้เหมาะสมกับเนื้อหาและวัยอีกด้วย  จึงสรุปได้ว่า  เนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กกับนักวิชาการระดับสูงแตกต่างกันเพียงปริมาณหรือความเข้มเท่านั้น  ไม่ใช่ประเภทหรือชนิด
ดิวอี้  (Dewey, 1938)  มีแนวคิดเรื่องหลักสูตรสว่านแตกต่างไปจากบรูเนอร์ กล่าวคือ ดิวอี้  มีความเชื่อว่า การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก  และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญากับการแก้ปัญหาเหล่านี้  เขาจะได้ความคิดใหม่ๆ  และพลังในการทำงาน  ซึ่งจะเป็นฐานสำหรับแก้ปัญหาอื่นๆ  อีกต่อไปในการปฏิบัติเช่นนั้นผู้เรียนจะเข้าใจถึงความสำคัญระหว่างกันของความรู้ในสาขาต่างๆ  และการประยุกต์ความรู้ไปใช้ในเชิงสังคมได้กว้างขวางขึ้น  กระบวนการจึงเป็นเสมือนเกลียวสว่านที่มีลักษณะต่อเนื่องและรับช่วงกันไป

       สรุป หลักสูตรเกลียวสว่าน เป็นหลักสูตรที่มีเนื้อหาเดียวกันทุกระดับ แต่ในเเต่ละระดับจะมีความยากง่าย ความลึกซึ้งต่างกันออกไป เช่น การเรียนในระดับต้นๆ จะได้เรียนแค่เนื้อหาพื้นฐาน ง่ายๆ แต่ถ้าเรียนในระดับสูงขึ้นไป เนื้อหาที่เรียนจะลึกขึ้น และยากขึ้นตามลำดับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น